เครื่อง GC คืออะไร? ใช้ทำอะไรในแล็บและโรงงาน

Gas Chromatography หรือ GC เป็นหนึ่งในเทคนิคการวิเคราะห์เชิงเครื่องมือที่ทรงพลังและถูกใช้งานอย่างแพร่หลายที่สุดในวงการเคมีวิเคราะห์ เปรียบเสมือนเครื่องมือที่ช่วยให้นักวิทยาศาสตร์สามารถ "มองเห็น" และ "แยกแยะ" องค์ประกอบต่างๆ ที่ผสมปนเปกันอยู่ในตัวอย่างที่มองด้วยตาเปล่าไม่เห็นได้ โดยมีหัวใจสำคัญคือการอาศัยความสามารถในการระเหยที่แตกต่างกันของสารแต่ละชนิด ทำให้ GC กลายเป็นเทคนิคหลักในการวิเคราะห์สารประกอบที่ระเหยได้หรือสารที่สามารถทำให้ระเหยได้โดยไม่สลายตัว ตั้งแต่การตรวจสอบคุณภาพอาหารและยา ไปจนถึงการวิเคราะห์มลพิษในสิ่งแวดล้อม และการไขคดีในทางนิติวิทยาศาสตร์

หลักการทำงาน: การแข่งขันวิ่งแข่งในระดับโมเลกุล

หากจะอธิบายหลักการทำงานของ GC ให้เห็นภาพ ลองจินตนาการถึงการแข่งขันวิ่งแข่งที่ผู้เข้าแข่งขัน (โมเลกุลของสารในตัวอย่าง) วิ่งผ่านสนามแข่งที่ยาวและคดเคี้ยว (คอลัมน์) โดยมีกระแสลมแรง (ก๊าซพา) คอยพัดส่งไปข้างหน้าตลอดเวลา แต่ในสนามแข่งนี้ไม่ได้เรียบโล่ง แต่กลับเต็มไปด้วย "สิ่งกีดขวาง" หรือ "จุดพัก" (เฟสอยู่กับที่) ที่เคลือบอยู่ภายใน

โมเลกุลแต่ละชนิดมี "ปฏิสัมพันธ์" หรือความชอบต่อสิ่งกีดขวางนี้ไม่เท่ากัน โมเลกุลที่ไม่ชอบสิ่งกีดขวางเลย (มีแรงยึดเหนี่ยวกับเฟสอยู่กับที่น้อย) และมีน้ำหนักเบา (ระเหยง่าย) ก็จะถูกกระแสลมพัดผ่านไปได้อย่างรวดเร็วและเข้าเส้นชัยก่อน ในทางกลับกัน โมเลกุลที่ "แวะพัก" หรือยึดติดกับสิ่งกีดขวางได้ดี (มีแรงยึดเหนี่ยวกับเฟสอยู่กับที่มาก) หรือมีน้ำหนักมาก (ระเหยยาก) ก็จะเคลื่อนที่ได้ช้ากว่าและเข้าเส้นชัยทีหลัง

การแยกสารใน GC อาศัยหลักการสองประการร่วมกันคือ:

  • ความสามารถในการระเหย (Volatility): สารที่มีจุดเดือดต่ำกว่าจะระเหยกลายเป็นไอได้ง่ายกว่า และถูกพัดพาโดยก๊าซพาไปได้เร็วกว่าสารที่มีจุดเดือดสูง
  • ปฏิสัมพันธ์กับเฟสอยู่กับที่ (Interaction with Stationary Phase): หัวใจของการแยกที่แท้จริงคือความแตกต่างในแรงกระทำระหว่างโมเลกุลของสารกับสารเคลือบภายในคอลัมน์ โดยใช้หลักการ "Like dissolves like" หรือสารที่มีขั้วคล้ายกันจะเข้ากันได้ดี สารที่ไม่มีขั้วจะถูกหน่วงเวลาได้ดีในคอลัมน์ที่เคลือบด้วยเฟสไม่มีขั้ว ในขณะที่สารมีขั้วจะเคลื่อนที่ช้าลงในคอลัมน์ที่เคลือบด้วยเฟสมีขั้ว

ผลลัพธ์ที่ได้จากการแข่งขันนี้จะถูกบันทึกออกมาเป็นกราฟที่เรียกว่า โครมาโทแกรม (Chromatogram) ซึ่งแกนนอนคือเวลา และแกนตั้งคือความเข้มของสัญญาณจากตัวตรวจวัด (Detector) สารแต่ละชนิดที่แยกออกมาได้จะปรากฏเป็น "พีค" (Peak) บนกราฟ

  • ตำแหน่งของพีค (Retention Time - RT): คือเวลาที่สารแต่ละชนิดใช้ในการเดินทางจากจุดเริ่มต้นจนถึงเส้นชัย (ตัวตรวจวัด) ซึ่งเป็นคุณสมบัติเฉพาะตัวของสารนั้นๆ ภายใต้สภาวะการวิเคราะห์ที่ควบคุมไว้ (ชนิดคอลัมน์, อุณหภูมิ, อัตราไหลของก๊าซ) ใช้สำหรับการวิเคราะห์เชิงคุณภาพ (Qualitative Analysis) หรือบอกว่า "คือสารอะไร"
  • พื้นที่ใต้พีค (Peak Area): มีความสัมพันธ์โดยตรงกับปริมาณหรือความเข้มข้นของสารชนิดนั้นๆ ในตัวอย่าง ยิ่งมีสารมาก พื้นที่ใต้พีคก็จะยิ่งใหญ่ ใช้สำหรับการวิเคราะห์เชิงปริมาณ (Quantitative Analysis) หรือบอกว่า "มีอยู่เท่าไหร่"

เจาะลึกส่วนประกอบสำคัญของเครื่อง GC

เครื่อง GC ประกอบด้วยส่วนต่างๆ ที่ทำงานประสานกันอย่างเป็นระบบเพื่อให้ได้ผลการแยกสารที่มีประสิทธิภาพและแม่นยำ

1. ส่วนนำเข้าตัวอย่าง (Injector)

เป็นประตูบานแรกที่นำพาสารตัวอย่างเข้าสู่ระบบ ทำหน้าที่หลัก 2 ประการคือ: ทำให้ตัวอย่างของเหลวระเหยกลายเป็นไออย่างรวดเร็ว และนำส่งไอของสารในปริมาณที่เหมาะสมเข้าสู่คอลัมน์ในลักษณะที่เป็น "แถบแคบๆ" เพื่อให้พีคที่ได้มีความคมชัด รูปแบบของอินเจคเตอร์ที่นิยมใช้มีหลายชนิด:

  • Split/Splitless Injector: เป็นแบบที่นิยมที่สุด มีความยืดหยุ่นสูง
    • Split Mode: ใช้สำหรับตัวอย่างที่มีความเข้มข้นสูง โดยไอของสารที่ระเหยแล้วส่วนใหญ่จะถูกระบายทิ้งไป (Split Vent) และมีเพียงส่วนน้อย (เช่น 1 ใน 100 ส่วน) ที่ถูกส่งเข้าคอลัมน์ เพื่อป้องกันไม่ให้สารเข้าสู่คอลัมน์มากเกินไปจนเกิดปรากฏการณ์ "Column Overload" ซึ่งทำให้พีคบานและแยกจากกันไม่ดี
    • Splitless Mode: ใช้สำหรับวิเคราะห์สารปริมาณน้อย (Trace Analysis) โดยวาล์วระบายทิ้งจะปิดลงชั่วขณะ เพื่อให้ไอของสารเกือบทั้งหมดถูกส่งผ่านเข้าสู่คอลัมน์ ทำให้มีความไวในการวิเคราะห์สูงสุด
  • On-Column Injector: ใช้สำหรับสารที่สลายตัวง่ายเมื่อโดนความร้อน โดยจะฉีดตัวอย่างของเหลวเข้าไปในคอลัมน์โดยตรงที่อุณหภูมิต่ำ แล้วจึงค่อยๆ เพิ่มอุณหภูมิเพื่อทำให้สารระเหยภายในคอลัมน์ เป็นการลดการสลายตัวของสารได้เป็นอย่างดี
  • Headspace Autosampler: เป็นเทคนิคเสริมสำหรับการวิเคราะห์สารระเหยง่าย (Volatile Organic Compounds - VOCs) ในตัวอย่างที่เป็นของแข็งหรือของเหลวที่มีเมทริกซ์ซับซ้อน เช่น การวิเคราะห์กลิ่นในกาแฟ หรือตัวทำละลายตกค้างในยา โดยจะให้ความร้อนแก่ตัวอย่างในขวดปิดสนิทเพื่อให้สารระเหยออกมาอยู่ในช่องว่างเหนือตัวอย่าง (Headspace) จากนั้นจึงดูดเฉพาะส่วนที่เป็นไอไปฉีดเข้าเครื่อง GC

2. คอลัมน์และเตาอบคอลัมน์ (Column & Oven)

นี่คือ "หัวใจ" ของระบบ GC ที่ซึ่งกระบวนการแยกสารเกิดขึ้นจริง

  • คอลัมน์ (Column): ในปัจจุบันนิยมใช้ Capillary Column ซึ่งเป็นท่อซิลิกาหลอม (Fused Silica) ที่มีความยืดหยุ่นสูง ยาวตั้งแต่ 15-100 เมตร มีเส้นผ่านศูนย์กลางภายใน (ID) เล็กมาก (ประมาณ 0.1-0.53 มิลลิเมตร) ผนังด้านในถูกเคลือบด้วย เฟสอยู่กับที่ (Stationary Phase) ซึ่งเป็นฟิล์มของเหลวบางๆ การเลือกชนิดของเฟสอยู่กับที่ให้เหมาะสมกับ "ขั้ว" ของสารที่ต้องการวิเคราะห์เป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการแยกสาร
  • เตาอบคอลัมน์ (Column Oven): เป็นตู้ที่ควบคุมอุณหภูมิของคอลัมน์ได้อย่างแม่นยำและสม่ำเสมอ อุณหภูมิเป็นตัวแปรสำคัญอย่างยิ่งที่มีผลต่อการแยกสาร
    • Isothermal Program: คือการตั้งอุณหภูมิให้คงที่ตลอดการวิเคราะห์ เหมาะกับตัวอย่างที่ไม่ซับซ้อนและมีสารประกอบที่มีจุดเดือดใกล้เคียงกัน
    • Temperature Program: คือการ "ไล่อุณหภูมิ" โดยเริ่มจากอุณหภูมิต่ำแล้วค่อยๆ เพิ่มขึ้นตามอัตราที่กำหนด วิธีนี้มีประโยชน์อย่างมหาศาลสำหรับการวิเคราะห์ตัวอย่างที่ซับซ้อนซึ่งมีสารประกอบหลากหลายชนิดที่มีจุดเดือดต่างกันมาก การไล่อุณหภูมิจะช่วยให้สารที่ระเหยง่าย (จุดเดือดต่ำ) แยกตัวออกมาก่อนที่อุณหภูมิต่ำ จากนั้นเมื่ออุณหภูมิสูงขึ้น ก็จะช่วย "ขับ" สารที่ระเหยยาก (จุดเดือดสูง) ให้ออกมาจากคอลัมน์ได้เร็วขึ้น ทำให้พีคมีความคมชัด และลดระยะเวลาการวิเคราะห์โดยรวม

3. ตัวตรวจวัด (Detector)

ทำหน้าที่เป็น "เส้นชัย" คอยตรวจจับโมเลกุลของสารที่ไหลออกมาจากปลายคอลัมน์ แล้วแปลงเป็นสัญญาณไฟฟ้าส่งไปบันทึกผลเป็นโครมาโทแกรม ตัวตรวจวัดมีหลายชนิด ซึ่งแต่ละชนิดมีความไวและความจำเพาะต่อสารต่างกัน:

  • Flame Ionization Detector (FID): เป็นตัวตรวจวัดที่ได้รับความนิยมมากที่สุด เปรียบเสมือน "ม้างาน" ของห้องปฏิบัติการ มีความไวสูงมากต่อสารประกอบอินทรีย์ที่มีคาร์บอนเกือบทุกชนิด หลักการคือการเผาสารในเปลวไฟของไฮโดรเจน ซึ่งจะทำให้เกิดไอออนและสร้างกระแสไฟฟ้าขึ้น สัญญาณจะแปรผันตรงกับจำนวนอะตอมของคาร์บอนในโมเลกุล แต่มีข้อจำกัดคือไม่สามารถตรวจวัดสารบางชนิดได้ เช่น น้ำ, คาร์บอนไดออกไซด์
  • Thermal Conductivity Detector (TCD): เป็นตัวตรวจวัดอเนกประสงค์ (Universal Detector) สามารถตรวจวัดสารได้ทุกชนิดที่มีค่าการนำความร้อนแตกต่างจากก๊าซพา หลักการคือวัดการเปลี่ยนแปลงค่าการนำความร้อนของกระแสก๊าซเมื่อมีสารตัวอย่างปนออกมาด้วย ข้อดีคือไม่ทำลายสารตัวอย่าง แต่มีความไวน้อยกว่า FID มาก
  • Electron Capture Detector (ECD): เป็นตัวตรวจวัดที่มีความจำเพาะและความไวสูงมากต่อสารประกอบที่มีอะตอมของธาตุที่ดึงดูดอิเล็กตรอนได้ดี เช่น กลุ่มแฮโลเจน (คลอรีน, โบรมีน) จึงนิยมใช้ในการวิเคราะห์ยาฆ่าแมลงกลุ่ม Organochlorine หรือสาร PCBs ในสิ่งแวดล้อม
  • Mass Spectrometer (MS): เมื่อนำ GC มาต่อกับ MS (เรียกว่าเทคนิค GC-MS) จะได้ระบบการวิเคราะห์ที่ทรงพลังที่สุด เพราะ MS ไม่เพียงแต่ตรวจวัดปริมาณสารได้ แต่ยังสามารถบอก "มวลโมเลกุล" และ "โครงสร้าง" ของสารได้ด้วย เปรียบเสมือนการได้ลายนิ้วมือของโมเลกุล ทำให้สามารถยืนยันชนิดของสารได้อย่างแม่นยำและมั่นใจ

การประยุกต์ใช้งานที่หลากหลายของ GC

ด้วยความสามารถในการแยกและวิเคราะห์สารระเหยได้อย่างยอดเยี่ยม GC จึงถูกนำไปใช้ในงานด้านต่างๆ อย่างกว้างขวาง:

  • ด้านสิ่งแวดล้อม: ตรวจวัดสารมลพิษอินทรีย์ระเหยง่าย (VOCs) ในอากาศรอบโรงงานอุตสาหกรรม, วิเคราะห์ยาฆ่าแมลงตกค้างในแหล่งน้ำและดิน, ตรวจสอบการปนเปื้อนของน้ำมันในทะเล
  • ด้านอาหารและเครื่องดื่ม: ควบคุมคุณภาพโดยการวิเคราะห์องค์ประกอบของกลิ่นและรสชาติ (Flavor & Fragrance) ในผลิตภัณฑ์ เช่น กาแฟ ไวน์ น้ำหอม, ตรวจหาสารปนเปื้อน เช่น ยาฆ่าแมลงในผักผลไม้ หรือสารอะคริลาไมด์ในอาหารทอด
  • ด้านนิติวิทยาศาสตร์: ตรวจวัดระดับแอลกอฮอล์ในเลือด, วิเคราะห์หาสารเสพติดในของกลางหรือตัวอย่างชีวภาพ, ตรวจพิสูจน์สารเร่งการติดไฟในคดีลอบวางเพลิง
  • ด้านอุตสาหกรรมปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์: วิเคราะห์องค์ประกอบของก๊าซธรรมชาติและน้ำมันดิบ, ควบคุมคุณภาพของผลิตภัณฑ์ เช่น เบนซิน ดีเซล, ตรวจสอบความบริสุทธิ์ของตัวทำละลายและสารตั้งต้นในกระบวนการผลิต

เคล็ดลับสู่ผลการวิเคราะห์ที่ดี: "พีคคม อ่านง่าย"

การจะได้มาซึ่งโครมาโทแกรมที่มีคุณภาพ พีคสวยงาม คมชัด และแยกจากกันอย่างสมบูรณ์นั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเครื่องมือราคาแพงเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากความใส่ใจในทุกรายละเอียดของกระบวนการวิเคราะห์:

  • การเตรียมตัวอย่าง (Sample Preparation): เป็นขั้นตอนที่สำคัญที่สุด "ขยะเข้า ก็ย่อมได้ขยะออก" (Garbage In, Garbage Out) ตัวอย่างต้องสะอาด ปราศจากสิ่งปนเปื้อนที่ไม่ต้องการซึ่งอาจทำลายคอลัมน์หรือรบกวนการวิเคราะห์ อาจต้องผ่านกระบวนการสกัด (Extraction) หรือทำให้เข้มข้นขึ้นก่อนฉีด
  • การเลือกพารามิเตอร์ที่เหมาะสม:
    • เลือกคอลัมน์ให้ตรงกับงาน: ต้องเลือกเฟสอยู่กับที่ที่มีขั้วใกล้เคียงกับสารที่สนใจมากที่สุด
    • ตั้งโปรแกรมเตาอบให้ดี: การไล่อุณหภูมิที่เหมาะสมจะช่วยให้สารทุกตัวแยกออกจากกันได้ดีและมีพีคที่คมชัดภายในเวลาที่ไม่นานเกินไป
    • ควบคุมอัตราไหลก๊าซพาให้คงที่: อัตราไหลที่เสถียรเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อให้ได้ Retention Time ที่ซ้ำเดิมได้ดีและมีประสิทธิภาพการแยกสูงสุด
  • การตรวจสอบความพร้อมของระบบ (System Suitability Test): ก่อนเริ่มการวิเคราะห์ตัวอย่างจริง ควรฉีดสารมาตรฐานเพื่อตรวจสอบประสิทธิภาพของระบบในวันนั้นๆ เสมอ โดยดูจากค่าต่างๆ เช่น ความสามารถในการแยก (Resolution), ความสมมาตรของพีค (Tailing Factor), และประสิทธิภาพของคอลัมน์ (Efficiency/Plate Count) เพื่อให้มั่นใจว่าระบบยังคงทำงานได้ดีตามเกณฑ์ที่กำหนด

โดยสรุป Gas Chromatography เป็นเทคนิคการวิเคราะห์ที่ขาดไม่ได้ในห้องปฏิบัติการสมัยใหม่ ด้วยความไว ความเร็ว และความสามารถในการแยกสารที่ซับซ้อนได้อย่างน่าทึ่ง การทำความเข้าใจในหลักการทำงาน องค์ประกอบของเครื่องมือ และปัจจัยที่มีผลต่อการวิเคราะห์ จะช่วยให้นักวิทยาศาสตร์สามารถประยุกต์ใช้เทคนิคนี้เพื่อไขปัญหาและสร้างองค์ความรู้ใหม่ๆ ได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้