ก่อนหน้านี้เราได้เขียนบทความเกี่ยวกับการวัดค่า BOD/COD ออนไลน์สำหรับอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ช่วยให้สามารถตรวจสอบคุณภาพน้ำได้อย่างต่อเนื่องและแม่นยำ โดยค่าทั้งสองนี้มีความสำคัญอย่างมากต่อการควบคุมมลพิษทางน้ำและการบริหารจัดการระบบบำบัดน้ำเสีย เพื่อให้เข้าใจถึงความสำคัญของค่าทั้งสองนี้มากขึ้น มาดูกันว่าค่า BOD และ COD คืออะไร และมีบทบาทอย่างไรในกระบวนการบำบัดน้ำเสีย
เริ่มต้นที่ BOD กันก่อนเลยนะคะ BOD จะเป็นตัวชี้วัดปริมาณของสารอินทรีย์ที่สามารถย่อยสลายได้ในน้ำ เมื่อสารอินทรีย์ถูกปล่อยลงสู่แหล่งน้ำ จุลินทรีย์จะใช้สารเหล่านี้เป็นแหล่งพลังงานและปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO₂) ออกมา ระหว่างกระบวนการนี้ จุลินทรีย์จะใช้ออกซิเจนจากน้ำ ซึ่งส่งผลให้ระดับออกซิเจนลดลง หากค่า BOD สูงเกินไป อาจทำให้ออกซิเจนในน้ำหมดลง ส่งผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตในน้ำ และเป็นตัวบ่งชี้ถึงคุณภาพน้ำที่เสื่อมโทรม
BOD หรือ Biochemical Oxygen Demand คือ ความต้องการออกซิเจนทางชีวเคมี เป็นพารามิเตอร์สำคัญในการประเมินมลพิษอินทรีย์ในแหล่งน้ำ ครอบคลุมพื้นที่ต่างๆ เช่น แม่น้ำ ทะเลสาบ และระบบบำบัดน้ำเสีย ความต้องการออกซิเจนทางชีวเคมี เป็นค่าที่บ่งบอกถึงปริมาณออกซิเจนที่จุลินทรีย์ต้องใช้ในการย่อยสลายสารอินทรีย์ในน้ำ กระบวนการนี้เป็นตัวชี้วัดระดับมลพิษอินทรีย์ในน้ำ หากค่า BOD สูงเกินไป ออกซิเจนในน้ำอาจลดลงจนส่งผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตในแหล่งน้ำ
การทดสอบค่า BOD ทำได้โดยการเก็บตัวอย่างน้ำไว้ในขวดที่ปิดสนิทและเก็บไว้ในที่มืด เพื่อป้องกันการสังเคราะห์แสง โดยทั่วไปจะบ่มที่อุณหภูมิ 20°C เป็นเวลา 5 วัน (BOD₅) แล้วนำระดับออกซิเจนที่ละลายในน้ำก่อนและหลังการบ่มมาคำนวณหาค่า BOD ซึ่งแสดงผลเป็น มิลลิกรัมของออกซิเจนต่อลิตร (mg/L) หรือ ppm
COD หรือ Chemical Oxygen Demand คือ ความต้องการออกซิเจนทางเคมี เป็นวิธีการวิเคราะห์คุณภาพน้ำที่มีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมและกระบวนการบำบัดน้ำเสีย หรือ ความต้องการออกซิเจนทางเคมี เป็นค่าที่ใช้วัดปริมาณออกซิเจนที่จำเป็นในการออกซิไดซ์สารอินทรีย์และอนินทรีย์ที่อยู่ในตัวอย่างน้ำโดยใช้สารเคมีออกซิไดซ์ที่แรง เช่น โพแทสเซียมไดโครเมต (K₂Cr₂O₇) เป็นตัวช่วยเร่งปฏิกิริยา COD เป็นพารามิเตอร์ที่นิยมใช้ในอุตสาหกรรมและระบบบำบัดน้ำเสีย เพื่อตรวจสอบปริมาณของเสียอินทรีย์ที่ละลายในน้ำ
การทดสอบค่า COD ทำได้โดยใช้สารออกซิไดซ์ที่แรง เช่น โพแทสเซียมไดโครเมตในกรดซัลฟิวริก (H₂SO₄) เพื่อออกซิไดซ์สารอินทรีย์และอนินทรีย์ในน้ำ ตัวอย่างน้ำจะถูกให้ความร้อนที่อุณหภูมิสูงประมาณ 150°C เป็นเวลา 2-3 ชั่วโมง จากนั้นนำค่าปริมาณออกซิเจนที่ใช้ไปมาคำนวณหา COD และแสดงผลเป็น mg/L หรือ ppm
หลังจากที่เราได้ทำความเข้าใจเกี่ยวกับค่า BOD และ COD แล้ว จะเห็นได้ว่าทั้งสองค่ามีบทบาทสำคัญในการวิเคราะห์คุณภาพน้ำ แม้ว่า BOD และ COD จะใช้เพื่อประเมินระดับมลพิษอินทรีย์ในน้ำ แต่ทั้งสองมีหลักการวัดที่แตกต่างกัน การเปรียบเทียบในตารางด้านล่างนี้จะช่วยให้เห็นความแตกต่างที่ชัดเจนระหว่างค่า BOD และ COD
หัวข้อ | BOD (Biochemical Oxygen Demand) | COD (Chemical Oxygen Demand) |
หลักการวัด | วัดปริมาณออกซิเจนที่จุลินทรีย์ใช้ในการย่อยสลายสารอินทรีย์ | วัดปริมาณออกซิเจนที่ใช้ในปฏิกิริยาออกซิไดซ์สารอินทรีย์และอนินทรีย์ |
การย่อยสลาย | ใช้การย่อยสลายทางชีวภาพ (Biodegradable) | ใช้สารออกซิไดซ์ทางเคมี (Non-biodegradable) |
ระยะเวลาการทดสอบ | 5 วัน (BOD₅) | 2-3 ชั่วโมง |
ความแม่นยำ | เจาะจงเฉพาะสารอินทรีย์ที่จุลินทรีย์ย่อยสลายได้ | รวมถึงสารอินทรีย์ที่ย่อยสลายได้และไม่ได้ |
การใช้งานหลัก | ใช้ในระบบบำบัดน้ำเสียและตรวจสอบคุณภาพแหล่งน้ำธรรมชาติ | ใช้ในอุตสาหกรรมและการตรวจสอบน้ำเสียที่มีสารอนินทรีย์ |
ทั้ง BOD และ COD เป็นตัวชี้วัดสำคัญในการตรวจสอบคุณภาพน้ำเสียและแหล่งน้ำธรรมชาติ ค่า BOD มุ่งเน้นที่การย่อยสลายทางชีวภาพของสารอินทรีย์ ขณะที่ค่า COD เป็นการวัดที่ครอบคลุมทั้งสารอินทรีย์และอนินทรีย์ที่ต้องการออกซิเจนในการออกซิไดซ์ อุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับระบบบำบัดน้ำเสียจึงควรคำนึงถึงค่าทั้งสองนี้เพื่อให้แน่ใจว่าน้ำเสียที่ปล่อยออกมาอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานสิ่งแวดล้อม
ASE มีเครื่องมือวัดค่า BOD และ COD ที่ช่วยให้โรงงานสามารถตรวจสอบคุณภาพน้ำได้อย่างแม่นยำ เพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานสิ่งแวดล้อม ลดผลกระทบต่อทรัพยากรน้ำและระบบนิเวศ หากคุณต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับอุปกรณ์วัดค่าคุณภาพน้ำ ติดต่อ ASE ได้เลย! เรามีทีมผู้เชี่ยวชาญพร้อมให้คำปรึกษา และช่วยคุณเลือกอุปกรณ์ที่เหมาะสมกับความต้องการ